[x] ปิดหน้าต่างนี้
ยินดีต้อนรับคุณ บุคคลทั่วไป   
English Chinese (Simplified) Chinese (Traditional) French German Italian Japanese Korean Portuguese Russian Spanish Vietnamese Thai     
ค้นหา   
เมนูหลัก
ระบบสมาชิก
Username :
Password :
[ สมัครสมาชิก ] | [ ลืมรหัสผ่าน ]
สมาชิกทั้งหมด 294 คน
สมาชิกที่กำลังออนไลน์ 0 คน
หมวดหมู่ blog
ฝากข้อความ
ชื่อ :
ข้อความ (ตัวแสดงอารมณ์)
รวมลิงค์ที่น่าสนใจ
รวมเว็บที่น่าสนใจ

  

   เว็บบอร์ด >> ห้องนั่งเล่น >>
ไทรอยด์: โรคของต่อมไทรอยด์  VIEW : 1485    
โดย K. Somboon

UID : ไม่มีข้อมูล
โพสแล้ว : 3
ตอบแล้ว :
เพศ :
ระดับ : 1
Exp : 60%
เข้าระบบ :
ออฟไลน์ :
IP : 175.106.9.xxx

 
เมื่อ : พฤหัสบดี ที่ 18 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2560 เวลา 21:43:57   

ไทรอยด์ (Thyroid gland) เป็นอวัยวะหนึ่งในระบบต่อมไร้ท่อตั้งอยู่ด้านหน้าของลำคอใน ส่วนหน้าต่อลูกกระเดือกหรือกระดูกอ่อนไทรอยด์ (Thyroid cartilage) มีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ ประ กอบด้วย 2 กลีบใหญ่คือ กลีบด้านซ้ายและกลีบด้านขวา ซึ่งทั้งสองกลีบเชื่อมต่อถึงกันได้ด้วยเนื้อเยื่อบางๆที่เรียกว่า อิสธ์มัส (Isthmus) ต่อมไทรอยด์ปกติของผู้ใหญ่มีน้ำหนักประมาณ 18 -30 กรัม แต่ละกลีบของต่อมไทรอยด์ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร (ซม.) ส่วนที่กว้างที่สุดประมาณ 2 - 3 ซม. และส่วนที่หนาสุดประมาณ 0.8 - 1.6 ซม. ซึ่งต่อมไทรอยด์ปกติไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและไม่สามารถคลำพบได้

ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนสำคัญ 3 ชนิดคือ ไทรอกซีน หรือ ที4 (Thyroxine, T4) ไตรไอโอโดไธโรนีน หรือ ที3 (Triiodothyronine, T3) และแคลซิโทนิน (Calcitonin) ซึ่งเป็นฮอร์ โมนที่มีความสำคัญน้อยกว่า ฮอร์โมน ที4 และ ที3 เป็นอย่างมาก ดังนั้นโดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึง ไทรอยด์ฮอร์โมนจึงมักหมายความถึงเฉพาะฮอร์โมน ที4 และ ที3 เท่านั้น

ฮอร์โมน ที4 และฮอร์โมน ที3 มีหน้าที่สำคัญมากคือ ควบคุมดูแลการใช้พลังงานทั้งจากอาหารและจากออกซิเจนหรือที่เรียกว่า เมตาโบลิซึม (Metabolism หรือกระบวนการแปรรูปอณู) ของเซลล์ต่างๆเพื่อการเจริญเติบโต การทำงาน และการซ่อมแซมเซลล์ที่บาดเจ็บสึกหรอ และยังช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายด้วย ส่วนฮอร์โมนแคลซิโทนินมีหน้าที่ช่วยควบคุมการทำงานของเกลือแร่แคลเซียมในร่างกายให้อยู่ในสมดุล

ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมที่ทำงานโดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) และของสมองส่วนที่เรียกว่า ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus เป็นสมองส่วนหนึ่งของสมองใหญ่/Cerebrum โดยอยู่ในส่วนลึกกลางสมองใหญ่) ซึ่งทั้งต่อมใต้สมองและสมองไฮโป ธาลามัสยังควบคุมการทำงานของอวัยวะอื่นๆด้วยเช่น ต่อมหมวกไต รังไข่ และอัณฑะ และยังมีความสัมพันธ์กับอารมณ์และจิตใจ ดังนั้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ รวมทั้งโรคหรือภาวะผิด ปกติต่างๆของต่อมไทรอยด์จึงสัมพันธ์กับการทำงานและโรคต่างๆของอวัยวะเหล่านั้น รวมทั้งความสัมพันธ์กับอารมณ์และจิตใจ

เนื่องจากฮอร์โมนแคลซิโทนินมีบทบาทน้อยมากในการดำรงชีวิตและในโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้นในบทนี้เมื่อกล่าวถึงเรื่องของต่อมไทรอยด์จึงกล่าวถึงเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับฮอร์โมน ที4 และฮอร์โมน ที3 เท่านั้น และจะรวมเรียกฮอร์โมน ที4 และ ที3 ว่าไทรอยด์ฮอร์ โมน

HonestDocs

โรคต่อมไทรอยด์มีอะไรบ้าง? มีอาการอย่างไร?

 

ไทรอยด์

โรคของต่อมไทรอยด์ที่พบได้บ่อยคือ ภาวะหรือโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ภาวะหรือโรคขาดไทรอยด์ฮอร์โมน โรคคอพอก โรคปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์ และโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์

ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)

 

คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานสูง ขึ้นผิดปกติจึงส่งผลให้มีฮอร์โมน ที4 และฮอร์โมน ที3 ในร่างกาย/ในเลือดสูงกว่าปกติ จึงก่อ ให้เกิดอาการต่างๆขึ้น ซึ่งเมื่อมีไทรอยด์ฮอร์โมนสูงขึ้นกว่าปกติจากสาเหตุใดๆก็ตามเช่น จากต่อมไทรอยด์อักเสบ จากกินยาไทรอยด์ฮอร์โมนเรียกภาวะนั้นว่า โรคไทรอยด์เป็นพิษ (Thyrotoxicosis) เมื่อไทรอยด์เป็นพิษเกิดจากปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์เรียกโรคนั้นว่า โรคคอพอกเป็นพิษ (Toxic nodular goiter) และเมื่อเกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันต้านทานของร่าง กาย/แอนติบอดี/สารภูมิต้านทาน (Antibody) ต่อต่อมไทรอยด์จะส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ทั้งต่อมโตขึ้น และเซลล์ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอยด์ฮอร์โมนสูงขึ้นเรียกว่า โรคเกรวฟส์ (Graves’ disease) ซึ่งเป็นสาเหตุพบบ่อยที่สุดของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินคือประมาณ 70% ของภาวะนี้

อาการจากภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินที่พบบ่อยได้แก่ ผอมลงทั้งๆที่กินจุ หัวใจเต้นเร็วและแรง ทนอากาศร้อนไม่ได้ เหงื่อออกมาก กล้ามเนื้อแขนและขาลีบ อุจจาระบ่อยขึ้น/ท้อง เสีย ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ ผมเปราะแห้ง ผมร่วง มือสั่น หงุดหงิดง่าย กังวลเกินเหตุ อารมณ์แปรปรวน อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ อาจมีต่อมไทรอยด์โตทั้งต่อมและอาจร่วมกับมีตาโปนทั้ง 2 ข้างเมื่อเกิดจากโรคเกรวฟส์ อาจมีปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์เมื่อเกิดจากคอพอกเป็นพิษ หรืออาจมีต่อมไทรอยด์โตเจ็บ อาจร่วมกับมีไข้เมื่อเกิดจากต่อมไทรอยด์อักเสบ

ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนหรือโรคต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism)

 

ได้ แก่ ภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำกว่าปกติหรือเสียหายจากสาเหตุต่างๆเช่น จากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ จึงส่งผลให้มีไทรอยด์ฮอร์โมนในร่างกาย/ในเลือดต่ำกว่าปกติ จึงก่ออาการต่างๆขึ้น ซึ่งที่พบบ่อยได้แก่ ทนหนาวไม่ได้ หนาวเกินเหตุ ท้องผูก ประจำเดือนแต่ละครั้งมามากผิดปกติ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อ้วนฉุ เฉื่อย ช้า เสียงแหบ พูดได้ช้าลง ผิวหนังดูหนากว่าปกติ ผิวแห้ง เล็บแตกง่าย ใบหน้า รอบดวงตา มือ เท้าบวมโดยเฉพาะเมื่อตื่นนอน ซึมเศร้า

สาเหตุพบบ่อยของภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนได้แก่ การผ่าตัดต่อมไทรอยด์จากโรคของต่อมไทรอยด์ การสูงอายุเซลล์ทุกชนิดรวมทั้งของต่อมไทรอยด์จึงเสื่อมลง กินยากดการทำงานของต่อมไทรอยด์ (เช่นรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ) โรคต่อมไทรอยด์อักเสบ (เมื่ออักเสบเฉียบ พลันมักเกิดโรคไทรอยด์เป็นพิษ แต่ในระยะยาวหรือเมื่อต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรัง มักเกิดภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน) การกินน้ำแร่รังสีไอโอดีนรักษาโรคต่างๆของต่อมไทรอยด์ การได้รับรังสีในบริเวณลำคอ (เช่น การฉายรังสีรักษาในโรคมะเร็งในบริเวณลำคอหรือในคนที่ทำงานเกี่ยวกับรังสี) และโรคขาดไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด

โรคคอพอก (Goiter หรือ Goitre)

 

คือ โรคต่อมไทรอยด์โต อาจโตเรียบทั่วทั้งสองกลีบ โตเรียบเพียงกลีบเดียว โตแบบเป็นตะปุ่มตะป่ำ หรือเป็นปุ่มก้อนเนื้อ อาจเกิดเพียงก้อนเนื้อเดียวหรือ หลายๆก้อน เกิดกับต่อมไทรอยด์เพียงกลีบใดกลีบหนึ่ง หรือกับทั้งสองกลีบพร้อมกัน ดังนั้นคอพอกจึงเป็นคำกลางๆหมายความถึงมีต่อมไทรอยด์บวมโต ซึ่งผู้ป่วยอาจ

  • มีไทรอยด์ฮอร์โมนปกติ จึงไม่มีอาการผิดปกติใดๆยกเว้นเพียงต่อมไทรอยด์โต โดยมักมีสาเหตุจากขาดเกลือแร่ไอโอดีน ต่อมไทรอยด์จึงเพิ่มปริมาณเซลล์ให้มากขึ้น ต่อมจึงมีขนาดโตขึ้นหรือเกิดเป็นตะปุ่มตะป่ำ
  • หรือมีการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนสูงขึ้น จึงเกิดภาวะไทรอยด์ทำงานเกินหรือไทรอยด์เป็นพิษ
  • หรืออาจมีไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ จึงเกิดอาการจากภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน ทั้งนี้ผู้ป่วยจะมีไทรอยด์ฮอร์โมนปกติ สูง หรือต่ำ ขึ้นกับสาเหตุของคอพอก

โรคปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์ (Thyroid nodule)

 

คือ ปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์ซึ่งเป็นปุ่มเนื้อที่ไม่ ใช่เนื้องอกมะเร็ง โดยปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์แบ่งเป็น 3 ชนิดตามการจับไอโอดีนของเซลล์ปุ่มเนื้อ คือ

  • เมื่อเซลล์ปุ่มเนื้อจับไอโอดีนได้ตามปกติเรียกว่า วอร์มโนดูล (Warm nodule) ปุ่มเนื้อชนิด นี้มักเกิดจากร่างกายขาดเกลือแร่ไอโอดีน และเป็นปุ่มเนื้อที่ไม่กลายเป็นโรคมะเร็ง
  • เมื่อเซลล์ปุ่มเนื้อจับไอโอดีนได้สูงกว่าปกติเรียกว่า ฮอตโนดูล (Hot nodule) ซึ่งปุ่มเนื้อชนิดนี้เป็นชนิดพบได้น้อย มักทำให้มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน และมีรายงานเปลี่ยนเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้ประปรายน้อยมากๆ
  • เมื่อเซลล์ปุ่มเนื้อไม่จับไอโอดีนเรียกว่า โคลด์โนดูล (Cold nodule) ปุ่มเนื้อชนิดนี้โดยทั่ว ไปเป็นเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง และจะยุบหายได้เมื่อได้รับการรักษาด้วยยาไทรอยด์ฮอร์โมนเรียก ว่า ไทรอยด์อะดีโนมา (Thyroid adenoma) อย่างไรก็ตามพบปุ่มเนื้อโคลด์โนดูลเกิดจากโรค มะเร็งต่อมไทรอยด์ได้ประมาณ 5 - 10% ดังนั้นเมื่อปุ่มเนื้อชนิดนี้มีขนาดโตขึ้นหรือไม่ยุบลงหลังได้ยาฮอร์โมนดังกล่าว การรักษามักเป็นการเจาะ/ดูดเซลล์จากปุ่มเนื้อเพื่อการตรวจทางเซลล์วิทยา เพื่อวินิจฉัยแยกโรคมะเร็ง เพื่อการรักษาได้ถูกต้องต่อไป

โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ (Thyroid cancer)

 

เป็นโรคมะเร็งพบบ่อยชนิดหนึ่งของคนไทย เป็นโรคมะเร็งของผู้ใหญ่ แต่พบได้ตั้งแต่ในเด็กโตไปจนถึงผู้สูงอายุ ผู้หญิงพบเป็นโรคได้สูงกว่าผู้ชายถึงประมาณ 3 - 4 เท่า เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุ แต่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือการได้รับรังสีในบริเวณต่อมไทรอยด์โดยเฉพาะในช่วงเป็นเด็ก และอาการสำคัญคือ ต่อมไทรอยด์โตมอง เห็นได้และคลำได้ก้อนเนื้อหรือปุ่มเนื้อในต่อมไทรอยด์ และในโรคระยะลุกลามอาจคลำได้ต่อม น้ำเหลืองลำคอโตด้านเดียวกับที่มีก้อนเนื้อในต่อมไทรอยด์

แพทย์วินิจฉัยโรคของต่อมไทรอยด์ได้อย่างไร?

 

แพทย์วินิจฉัยโรคของต่อมไทรอยด์ได้จากประวัติอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจคลำต่อมไทรอยด์และต่อมน้ำเหลืองลำคอ การตรวจเลือดดูการทำงานของต่อมไทรอยด์ การตรวจภาพต่อมไทรอยด์ด้วยอัลตราซาวด์หรือการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ (โดยการกินน้ำแร่รังสีไอโอดีนหรือฉีดยาแร่รังสีบางชนิดเข้าหลอดเลือดดำ หลังจากนั้นจึงใช้เครื่องสแกนตรวจจับรังสีที่เซลล์ต่อมไทรอยด์จับกิน แล้วจึงแปลงเป็นภาพต่อมไทรอยด์) หรือการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่เมื่อสงสัยโรคเนื้องอกหรือโรคมะเร็งจะเจาะดูดเซลล์จากก้อนเนื้อเพื่อการตรวจทางเซลล์วิทยา นอกจากนั้นอาจมีการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์เช่น ตรวจภาพเอกซเรย์ปอดเพื่อดูการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง เป็นต้น

รักษาโรคของต่อมไทรอยด์ได้อย่างไร?

 

การรักษาโรคต่อมไทรอยด์ขึ้นกับชนิดของโรคโดย

  • เมื่อเป็นภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน การรักษาคือ การกินยาลดการทำงานของต่อมไทรอยด์ การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ และ/หรือ การกินน้ำแร่รังสีไอโอดีน โดยจะเป็นวิธีการใดขึ้นกับอายุ สุข ภาพผู้ป่วย ดุลพินิจของแพทย์ และความสมัครใจของผู้ป่วย
  • เมื่อเป็นโรคภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน การรักษาคือ การกินยาไทรอยด์ฮอร์โมน และการรักษาประคับประคองตามอาการเช่น กินยาขับน้ำลดบวม เป็นต้น
  • เมื่อเป็นโรคคอพอก คือ รักษาตามสาเหตุของคอพอกเช่น รักษาภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน เป็นต้น
  • เมื่อเป็นโรคปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์ คือ การรักษาตามสาเหตุเช่น รักษาภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน เป็นต้น
  • เมื่อเป็นเนื้องอกต่อมไทรอยด์ การรักษาคือ กินยาไทรอยด์ฮอร์โมน แต่เมื่อก้อนโตขึ้นหรือ ก้อนไม่ยุบหลังกินยา การรักษาคือ การผ่าตัดก้อนเนื้อหรือการผ่าตัดต่อมไทรอยด์
  • เมื่อเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ การรักษาคือ การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ และอาจร่วมกับการกินยาน้ำแร่รังสีไอโอดีน การฉายรังสีรักษาหรือยาเคมีบำบัด ทั้งนี้ขึ้นกับระยะของโรคมะเร็งและชนิดของเซลล์มะเร็ง

โรคของต่อมไทรอยด์รุนแรงไหม?

 

โดยทั่วไปโรคของต่อมไทรอยด์เป็นโรคไม่รุนแรง รักษาได้เสมอ ซึ่งรวมทั้งโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ ยกเว้นโรคมะเร็งชนิดมีการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งสูงมาก (ชนิด Anaplastic หรือ ชนิด Undifferentiated) เท่านั้นที่รุนแรงมากซึ่งมักทำให้เสียชีวิตเสมอ แต่เป็นมะเร็งชนิดที่พบได้น้อยมากและมักพบเกิดในผู้สูงอายุ

ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

 

เมื่อมีอาการผิดปกติดังกล่าวหรือสังเกตเห็นมีก้อนเนื้อผิดปกติในบริเวณต่อมไทรอยด์ และ/หรือลำคอ ควรรีบพบแพทย์เสมอภายใน 1 - 2 สัปดาห์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีกว่า ใช้เวลารักษาและเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาน้อยกว่าการรักษาในระยะที่เป็นโรคเรื้อรังหรือเป็นโรคมะเร็งในระยะลุกลาม

ป้องกันโรคของต่อมไทรอยด์ได้อย่างไร?

 

โดยทั่วไปโรคของต่อมไทรอยด์มักไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ยกเว้นโรคคอพอกจากขาดไอโอดีนและโรคต่อมไทรอยด์อักเสบจากการติดเชื้อ ดังนั้นการป้องกันคือ การกินอาหารที่มีไอ โอดีนอย่างเพียงพอเช่น อาหารทะเล น้ำปลาจากปลาทะเล เกลือทะเล แต่ไม่ควรกินอาหารเค็มจัดเพราะจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและโรคไตเรื้อรัง นอกจากนั้นคือ การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงและเพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ

อนึ่ง จากการศึกษาพบว่า การกินอาหารที่มีไอโอดีนปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกดการทำงานของต่อมไทรอยด์ได้ ต่อมไทรอยด์จึงพยายามทำงานเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดคอพอกได้ หรือบางครั้งอาจทำให้ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอยด์ฮอร์โมนเกินปกติเกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษ หรือบางครั้งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้

จึงเห็นได้ว่าทั้งการขาดไอโอดีนหรือการกินไอโอดีนมากเกินไปก่อโรคกับต่อมไทรอยด์ได้ทั้งสองกรณี ดังนั้นจึงควรกินอาหารที่มีไอโอดีนแต่พอดี ไม่กินอาหารที่ขาดไอโอดีนหรืออา หารที่มีไอโอดีนสูงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการกินไอโอดีนเสริมอาหารในรูปของวิตามิน ควรปรึก ษาแพทย์พยาบาลหรือเภสัชกรก่อนเสมอ

 

 [url]https://www.honestdocs.co/what-is-thyroid-gland[/url]

 

บทนำ

 

อาหารเป็นพิษ (Food poisoning) คือ โรคที่เกิดจากการกินอาหาร และ/หรือ ดื่มน้ำ/เครื่องดื่ม ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือ สารพิษที่สร้างจากเชื้อโรค หรือ สารพิษจากสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่เชื้อโรค เช่น เห็ดพิษ สารหนู และโลหะหนัก (เช่น ตะกั่ว)

อาหารเป็นพิษ เป็นโรคพบบ่อยโรคหนึ่งในประเทศที่กำลังพัฒนา แต่พบได้ประปรายในประเทศที่พัฒนาแล้ว เกิดได้กับคนทุกอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และโอกาสเกิดในผู้หญิงและผู้ชายเท่ากัน ทั้งนี้เป็นโรคพบในเด็กได้สูงกว่าวัยอื่นๆ เพราะแหล่งอาหารเป็นพิษที่สำคัญ คือ อาหารโรงเรียน ทั้งนี้ในประเทศที่กำลังพัฒนา มีรายงานเด็กเกิดอาหารเป็นพิษได้สูงถึงประมาณ 5 ครั้งต่อปี

อาหารเป็นพิษ เมื่อเกิดจากเชื้อโรค สามารถเป็นโรคติดต่อได้ และพบเกิดระบาดได้เป็นครั้งคราว โดยนิยามของการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ คือ เกิด อาการท้องเสีย อาจร่วมกับอาการทางกระเพาะอาหารและลำไส้อื่นๆ เช่น ปวด ท้อง ขึ้นพร้อมกัน หรือ ต่อเนื่องกัน อย่างน้อยตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีสาเหตุมาจากอาหาร และ/หรือ น้ำดื่ม

โรคอาหารเป็นพิษที่เกิดกับนักท่องเที่ยวเดินทาง มักเกิดจากติดเชื้อแบคที เรีย ซึ่งเรียกว่า โรคท้องเสียของนักท่องเที่ยวเดินทาง (Travelers’ diarrhea)

โรคอาหารเป็นพิษเกิดจากอะไร? มีกลไกเกิดโรคได้อย่างไร?

 

โรคอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่เกิดจากกินอาหาร และ/หรือ ดื่มน้ำ/เครื่องดื่มที่ปนเปื้อน แบคทีเรีย รองลงไป คือ ไวรัส นอกจากนั้นที่พบได้บ้าง คือ การปนเปื้อนปรสิต (Parasite) เช่น บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการปนเปื้อนสารพิษ ที่พบบ่อย คือ จากเห็ดพิษ สารพิษปนเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู และสารโลหะหนักดังกล่าว

แบคทีเรียที่พบก่อโรคอาหารเป็นพิษ มีหลายชนิด ที่พบบ่อย คือ สแตฟฟีโลคอกคัส (Staphylococcus) อีโคไล (E. coli) บิดชิเกลลา (Shigella) ไทฟอยด์ (Salmonella) เชื้อแบคทีเรียในกลุ่มเดียวกับบาดทะยัก (Clostridium) อหิวาตกโรค (Cholera) และ ลิสทีเรีย (Listeria monocytogenes)

ไวรัสที่พบเป็นสาเหตุโรคอาหารเป็นพิษ ที่พบบ่อย คือ ไวรัสตับอักเสบ เอ และอะดีโนไวรัส (Adenovirus)

เมื่อเชื้อโรค หรือ สารพิษเข้าสู่กระเพาะอาหารและลำไส้ จะมีกลไกทำให้เกิดอาการได้เป็นสองแบบ ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของเชื้อ หรือ สารพิษ

กลไกแรก เป็นกลไกที่ก่ออาการท้องเสียไม่รุนแรง เรียกว่า noninflamma tory type โดยเชื้อจะก่ออาการเฉพาะกับเยื่อเมือกบุลำไส้เล็กเท่านั้น ไม่รุกรานเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น อาการส่วนใหญ่ จึงเป็น ท้องเสียเป็นน้ำ โดยไม่ถ่ายเป็นมูก หรือ เป็นเลือด และมีอาการปวดท้องไม่มาก แต่จะทำให้ร่างกายขาดน้ำได้มาก เช่น จากเชื้อ อีโคไล สายพันธุ์ไม่รุนแรง (อีโคไล มีหลายสายพันธุ์ย่อย) และไม่ค่อยมีอาการร่วมอื่นๆ

อีกกลไกหนึ่ง เป็นกลไกที่รุนแรง เรียกว่า Inflammatory type คือ เชื้อ ทำลายเยื่อเมือกของลำไส้เล็ก และ รุกรานผ่านเยื่อเมือกเข้าสู่กระแสโลหิต (เลือด) ไปทั่วร่างกาย ดังนั้น อาการท้องเสียจึงมักเป็นมูก เป็นเลือด หรือ มูกเลือด และมักร่วมกับมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น ปวดท้องมาก คลื่นไส้ อาเจียน ไข้สูง ปวดเมื่อยเนื้อตัว และปวดข้อ และเมื่อเป็นเชื้อชนิดรุนแรง เช่น เชื้อแบคทีเรียในกลุ่มบาดทะยัก สารพิษของเชื้อนี้ สามารถทำลายประสาทได้ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต และรวมทั้งกล้ามเนื้อหายใจ หายใจไม่ได้ หยุดหายใจ และเสียชีวิตในที่สุด

ส่วนกลไกจากสารพิษที่ไม่ใช่จากเชื้อโรค ยังไม่ทราบชัดเจนว่า เกิดได้อย่างไร

โรคอาหารเป็นพิษมีอาการอย่างไร?

 

เมื่อเชื้อ หรือ สารพิษเข้าสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า (ระยะฟักตัว) ขึ้นกับชนิด และปริมาณของเชื้อ หรือ ของสารพิษ ซึ่งพบเกิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงหลังกินอาหาร/ดื่มน้ำ ไปจนเป็นวัน หรือ สัปดาห์ หรือ เป็นเดือน (เช่น ในไวรัสตับอักเสบ เอ) แต่โดยทั่วไป มักพบเกิดอาการภายใน 2-6 ชั่วโมง หรือ 2-3วัน

อาการโดยทั่วไปที่พบได้บ่อย จากอาหารเป็นพิษ ได้แก่

  • ท้องเสีย อาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด ดังกล่าวแล้ว
  • ปวดท้อง อาจมาก หรือ น้อย ขึ้นกับความรุนแรงของโรค มักเป็นการปวดบิด
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • มีไข้สูง อาจหนาวสั่น แต่บางครั้งมีไข้ต่ำได้
  • ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว อาจปวดข้อ ขึ้นกับชนิดของเชื้อหรือ สารพิษดังกล่าวแล้ว
  • อาจมีผื่นขึ้นตามเนื้อตัว
  • อาจมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง ดังกล่าวแล้วเช่นกัน

 

แพทย์วินิจฉัยโรคอาหารเป็นพิษได้อย่างไร?

 

แพทย์วินิจฉัยโรคอาหารเป็นพิษได้จาก ประวัติอาการ อาหาร/น้ำดื่มที่บริโภค คนอื่นที่กินด้วยกันมีอาการไหม การตรวจร่างกาย อาจมีการตรวจเลือด ตรวจเชื้อ หรือ สารพิษ หรือ เพาะเชื้อ จากอาหาร/น้ำดื่ม หรือจากอุจจาระ และการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์

รักษาโรคอาหารเป็นพิษได้อย่างไร?

 

แนวทางการรักษาโรคอาหารเป็นพิษ ที่สำคัญที่สุด คือ รักษาประคับ ประคองตามอาการ ได้แก่ ป้องกันภาวะขาดน้ำและขาดสมดุลของเกลือแร่ซึ่งการรักษาโดยให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดเมื่อท้องเสียมาก ยาแก้ปวด ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน และยาลดไข้ นอกจากนั้น คือ การรักษาตามสาเหตุ เช่นพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ เมื่อเกิดจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ ให้ยาต้านสารพิษถ้าเป็นชนิดมียาต้าน เป็นต้น

มีผลข้างเคียงจากโรคอาหารเป็นพิษไหม?

 

ผลข้างเคียงจากโรคอาหารเป็นพิษ โดยทั่วไปคือ ภาวะขาดน้ำเมื่อท้องเสียมาก (อ่อนเพลียมาก ตัวแห้ง ปากแห้ง ปัสสาวะน้อย/ไม่มีปัสสาวะ ความดันโลหิตอาจต่ำ สับสน และโคม่าได้) นอกจากนั้นขึ้นกับชนิดของเชื้อโรค หรือของสารพิษ เช่น กล้ามเนื้อไม่มีแรงเมื่อได้รับเชื้อแบคทีเรียกลุ่มบาดทะยัก เลือดออกตามอวัยวะต่างๆโดยเฉพาะไต เมื่อเกิดจากเชื้อ อีโคไลชนิดรุนแรง หรือ ทำให้เกิดการแท้งบุตรในหญิงตั้งครรภ์เมื่อเกิดจากเชื้อ ลิสทีเรีย

โรคอาหารเป็นพิษรุนแรงไหม?

 

โดยทั่วไป ประมาณ 80-90% ของโรคอาหารเป็นพิษไม่รุนแรง โรคหายได้ภายใน 2-3 วัน แต่ทั้งนี้ขึ้นกับชนิด และปริมาณของเชื้อโรค หรือ ของสารพิษด้วย นอกจากนั้น จะพบความรุนแรงโรคสูงขึ้นมาก และเป็นสาเหตุเสียชีวิตได้สูง เมื่อโรคเกิดในคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ในเด็กเล็ก ในผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือ ในผู้สูงอายุ

ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

 

การดูแลตนเอง และการพบแพทย์ เมื่ออาหารเป็นพิษ ที่สำคัญ คือ

  • ในขณะปวดท้อง หรือ คลื่นไส้อาเจียน ไม่ควรกินอาหาร หรือ ดื่มน้ำเพราะอาการจะรุนแรงขึ้น
  • ไม่ควรกินยาหยุดถ่ายท้อง เพราะการท้องเสียจะช่วยขับเชื้อและสารพิษออกจากร่างกาย
  • จิบน้ำ อมน้ำแข็งสะอาด หรือ น้ำเกลือแร่ บ่อยๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • เมื่ออาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือ ปวดท้องบรรเทาลง ควรเริ่มอาหารด้วยอาหารน้ำ รสจืด เช่น น้ำซุปครั้งละน้อยๆก่อน แล้วสังเกตอาการ หลังจากนั้น ปรับอาหารไปตามอาการ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละมากๆ อย่างน้อย 8-10 แก้ว เมื่อแพทย์ไม่สั่งให้ จำกัดน้ำดื่ม
  • พักผ่อนให้มากๆ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น ที่สำคัญ คือ การล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยเฉพาะหลังการขับ ถ่าย และก่อนกินอาหาร
  • รีบพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง หรือ ฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เมื่อ
    • มีอาการดังกล่าวภายหลังการกินเห็ด หรือ อาหารทะเล เพราะมักเกิดจากสารพิษที่รุนแรง
    • มีคลื่นไส้ อาเจียนมาก ปวดท้องมาก
    • ท้องเสียมาก ดื่มน้ำไม่ได้ ไม่มีปัสสาวะ (อาการจากร่างกายขาดน้ำมาก)
    • อาการท้องเสีย ถึงแม้จะดีขึ้น แต่ยังคงมีอาการอยู่นานเกิน 3 วัน
    • มีไข้สูง
    • อุจจาระเป็นเลือด